BLOGBLOG
back

ตลาดคาร์บอนเครดิต คืออะไร สำคัญแค่ไหนต่อสภาวะโลกเดือด?

หากใครที่ติดตามข่าวสารด้านสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ได้ยินกันเป็นประจำก็คงจะหนีไม่พ้น “คาร์บอนเครดิต” อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเป็นเมกะเทรนด์ในยุคนี้แล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งการลงทุนที่น่าจับตามองในอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดคาร์บอนเครดิต ที่ส่งผลดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้น มาทำความรู้จักกับ Cabon Credit ให้มากขึ้น พร้อมแจกสูตรการคำนวณคาร์บอนเครดิตสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุน

คาร์บอนเครดิต vs ตลาดคาร์บอนเครดิต คืออะไร?

คำว่า คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) หมายถึง สิทธิที่เกิดจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas: GHG) จากจำนวนคาร์บอนฟรุตพรินต์ หรือก็คือคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่สิ่งแวดล้อมในแต่ละปี หากปล่อยคาร์บอนในจำนวนที่น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ปริมาณคาร์บอนที่เหลือก็จะถูกนำมาตีราคา หลังจากนั้นก็นำไปจำหน่ายในรูปแบบของคาร์บอนเครดิตให้กับองค์กรอื่น ๆ ต่อไป

เพราะฉะนั้น จึงก่อให้เกิดคำว่า “ตลาดคาร์บอนเครดิต” หรือ Carbon Credit Market ที่หมายถึงพื้นที่สำหรับการซื้อ – ขาย คาร์บอนเครดิตขององค์กรต่าง ๆ ที่มีปริมาณคาร์บอนที่เหลือมาจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ ซึ่งการมีตลาดคาร์บอนเครดิต จึงเปรียบเสมือนตัวกระตุ้นอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมหรือองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนหันมาให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมนั่นเอง

เรียกง่าย ๆ ว่า คาร์บอนเครดิต เป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่สำคัญต่อโลกอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ “สภาวะโลกเดือด (Global Boiling)” ซึ่งหลายภาคส่วนทั่วโลกต่างก็หันมาให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มีการดำเนินงานภายในหลักการของ ESG Model และในหลาย ๆ ประเทศก็มีระบบการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเป็นของตนเอง อาทิ ประเทศสิงคโปร์ ที่ในปัจจุบันนี้มีนโบบายต่าง ๆ เพื่อผลักดันให้เป็นศูนย์กลางตลาดคาร์บอนเครดิตในระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นที่มี J-Credit ในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวเช่นกัน 

คาร์บอนเครดิต vs ตลาดคาร์บอนเครดิต คืออะไร

ประเภทของตลาดคาร์บอนเครดิตในปัจจุบัน

1. ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ

สำหรับตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ โดยส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นอุตสาหกรรมระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ โดยจะมีรัฐบาลกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงทำให้มีผลผูกพันทางกฎหมายตามไปด้วย เพราะหากไม่ปฏิบัติตาม หละหลวม หรือไม่ดำเนินการตามข้อปฏิบัติ ก็จะมีบทลงโทษอย่างชัดเจน เช่น การถูกปรับอัตราภาษีคาร์บอน (Carbon Tax)

“ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ มีความเกี่ยวข้องกับพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ที่ว่าด้วยการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม โดยพิธีสารเกียวโตได้รับการยกย่อว่าเป็นสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดฉบับหนึ่ง”

2. ตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ  

โดยตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ เป็นตลาดซื้อขาย Carbon Credit สำหรับภาคเอกชนหรือธุรกิจ ที่มีจุดมุ่งหมายในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมายมาเกี่ยวข้อง โดยที่สามารถกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ ซึ่งตอบโจทย์ธุรกิจ SMEs หรือกลุ่มธุรกิจ Start – Up ที่ต้องการลดภาระทางภาษี หรือธุรกิจที่ต้องการลงทุนเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก โดยที่สามารถนำเครดิตไปใช้แลกเปลี่ยนและซื้อขายได้

หมายเหตุ : ประเทศไทยได้นำแนวคิดการจัดเก็บภาษีคาร์บอนมาใช้ ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์เป็นอันดับแรก ตามกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 23) ปี พ.ศ. 2568 และคาดว่าจะมีแนวทางการนำภาษีคาร์บอนมาใช้อย่างเต็มระบบภายในปี พ.ศ. 2593

ข้อดีของการมีตลาดคาร์บอนเครดิต

ข้อดีของการมีตลาดคาร์บอนเครดิต

การมีตลาดคาร์บอนเครดิต นับว่าเป็นหนึ่งในการลงทุนที่น่าจับตาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยในระยะสั้นที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ การลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ และช่วยลดความรุนแรงของภาวะโลกเดือด ที่ในปัจจุบันเริ่มมีการรณรงค์ให้ประชากรโลกเตรียมรับมือกับภาวะโลกเดือดกันมากขึ้น ที่ไม่ใช่แค่ผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผลกระทบในด้านอื่น ๆ ที่รุนแรงขึ้นเช่นกัน อาทิ สถานการณ์ไฟป่าที่รุนแรงมากขึ้น หรือการเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน โดยเฉพาะในหน้าแล้ง

และประโยชน์ของการมีตลาดคาร์บอนเครดิตในระยะยาวก็คือ การที่ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน จะหันมามุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ทำให้มีการขยายการลงทุนในด้านนี้มากขึ้น เช่น การขยายธุรกิจในด้านพลังงานสะอาด, พลังงานทดแทน, การใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์พลังงานทางเลือกแทนรถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมัน 100% รวมไปถึงการให้บริการ EV Charging Solutions เพื่อสนับสนุนกลุ่มผู้ใช้รถอีวีและกลุ่มธุรกิจที่ต้องการใช้รถยนต์พลังงานสะอาดในการดำเนินกิจการ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน หรือแม้กระทั่งการลงทุนและสร้างรายได้ในตลาดคาร์บอนเครดิต เช่น ปลูกต้นไม้ในภาคเกษตรกรรม เพื่อนำมาขายในตลาดคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่ต้องการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อโลกในระยะยาว

การคำนวณคาร์บอนเครดิต ก่อนลงทุนในตลาดคาร์บอน

การคำนวณคาร์บอนเครดิต ก่อนลงทุนในตลาดคาร์บอน

สำหรับสูตรการคำนวณคาร์บอนเครดิต มีหลักการในการคิดตามขอบเขตของ Carbon Footprint ทั้งหมด 3 แนวทางใหญ่ ๆ ซึ่งการคำนวณคาร์บอนเครดิต จะต้องมีความแม่นยำตามรูปแบบของกิจกรรม และมีการบันทึกบัญชีคาร์บอน (Carbon Accounting) อย่างละเอียด เพื่อนำไปคำนวณหาค่าคาร์บอนเครดิตนั่นเอง

  • การคำนวณทางตรง (Direct Emission) จากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กรโดยตรง อาทิ การเผาไหม้ของเครื่องจักร การใช้ยานพาหานะที่องค์กรเป็นผู้ครอบครอง การใช้สารเคมี การบำบัดน้ำเสีย การรั่วซึมหรือรั่วไหล ฯลฯ
  • การคำนวณทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Energy Indirect Emission) คือการซื้อพลังงานมาใช้ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไฟฟ้า พลังงานความร้อน และพลังงานไอน้ำ
  • การคำนวณทางอ้อมด้านอื่น ๆ อาทิ การเดินทางของพนักงานด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กรโดยตรง การใช้วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ

โดยการคิดประมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะต้องคำนวณจากปริมาณเชื้อเพลิงที่ใช้ (Activity Data) รวมกับค่าสัมประสิทธิ์การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Factor: EF) และค่าศักยภาพที่ทำให้เกิดภาวะโลกโลก (Global Warming Potential: GWP) หลังจากนั้นจะได้ค่าคาร์บอนเครดิต หรือ CO2eq

“สูตรการคำนวณโดยคร่าว ๆ คือ Activity Data x EF x GWP = CO2eq

หรือ

ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก = กิจกรรม (ปริมาณการใช้งาน) x ค่าการปลดปล่อย”

ทั้งนี้ การคำนวณหา Carbon Credit ยังมีหลักการในการคำนวณเชิงลึกต่ออีกหลายขั้นตอน ขึ้นอยู่กับกลุ่มธุรกิจหรือรูปแบบของกิจกรรมที่นำมาใช้เป็นตัวแปรในการคำนวณ เช่น หากปลูกต้นไม้เพื่อนำมาใช้ขายในตลาดคาร์บอนเครดิต ก็ต้องมีตัวแปรอื่น ๆ เข้ามาร่วมด้วย อาทิ การเก็บคาร์บอนของต้นไม้ในแต่ละช่วงอายุ

ช่องทางขายตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

ช่องทางขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย

ในปัจจุบันผู้ที่สนใจซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตในตลาด สามารถใช้บริการได้ที่เว็บไซต์ขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือ อปท. (https://lsso.dla.go.th/) ซึ่งผู้ที่มีการยืนยันตัวตนผ่านทาง THAID สามารถทำการ Log in เข้าสู่ระบบได้เลยโดยไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยภายในเว็บไซต์รองรับทั้งการซื้อและการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งหากเป็นการขาย Carbon Credit ด้วยตัวเอง สามารถเลือกรูปแบบการขายแบบดำเนินการเองได้เลย โดยในเว็บไซต์จะมีการแสดงผลปริมาณคาร์บอนเครดิต (tCO2eq) หรือ จำนวนปริมาณคาร์บอนเครดิตที่คงเหลือ, ปริมาณคาร์บอนเครดิตที่รอยืนยันการขาย และปริมาณที่ขายไปแล้วอย่างละเอียด

สรุป

จะเห็นได้เลยว่าเมกะเทรนด์อย่างการซื้อ-ขาย Carbon Credit ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไกลตัวอย่างที่คิด เพราะเป็นเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปี 2025 นี้ ภูมิทัศน์ด้านความยั่งยืนทั่วโลกก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน หลาย ๆ ธุรกิจก็เริ่มปรับตัวและหันมาให้ความสำคัญกับคาร์บอนเครดิตมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนสีเขียวเพื่อความยั่งยืน ซึ่งจากรายงานของ The Business Research เองก็คาดว่าตลาดคาร์บอนเครดิตจะเติบโตมากขึ้นเป็น 1.47 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2025 นี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ที่ส่งผลดีต่อโลกและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเช่นกัน