BLOGBLOG
back

แปะโพย วิธีดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ EV ให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

การดูแลรักษาชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ของยานยนต์ โดยเฉพาะการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นหนึ่งในเช็กลิสต์ที่ผู้ใช้รถยนต์ EV ต่างก็ทำกันเป็นประจำ เพราะอย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า แบตเตอรี่รถ EV มีราคาที่สูงมาก ๆ หากต้องเปลี่ยนแบตก็ต้องใช้เงินก้อนพอสมควร ซึ่งโดยปกติแล้วอายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีอายุตั้งแต่ 10 – 20 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและบำรุงรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะฉะนั้น ทางอีโวลท์จะพาชาวแก๊งมาเช็กลิสต์ดูกันว่า วิธีถนอมแบตรถไฟฟ้าให้ใช้งานได้นานมีอะไรบ้างที่ควรรู้!

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า พร้อมการยืดอายุการใช้งาน

5 วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่รถไฟฟ้า EV แบบง่าย ๆ

1. ชาร์จไฟให้ถูกวิธี กระแสไฟที่ใช้เหมาะกับตัวรถ

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า EV ถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง ซึ่งการชาร์จแบตไม่จำเป็นต้องชาร์จทุกวันให้เต็ม 100% เพราะการชาร์จแบต 1 ครั้ง ก็หมายถึงจำนวน Charges Cycle หรือ Cycle Life ที่ลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแบตเตอรี่รถยนต์ EV ในปัจจุบัน จะนิยมใช้แบตเตอรี่ประเภท Lithium – ion ที่มีรอบการชาร์จตั้งแต่ 500 – 10,000 รอบ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับวัสดุและขั้วแคโทดที่ใช้อีกเช่นกัน

เพราะฉะนั้น การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้อง ให้จำไว้เสมอว่าไม่จำเป็นต้องชาร์จทุกวัน และชาร์จให้เต็มเสมอไป ตราบใดที่แบตยังไม่ต่ำกว่าระดับ 20% ก็แทบไม่ต้องชาร์จเพิ่มเลย (ขึ้นอยู่กับระยะทางที่ใช้และจุดชาร์จที่มีด้วย) เพียงแค่ให้อยู่ในระดับ 30 – 80% ก็ถือว่าเพียงพอ และในการชาร์จแบตจะต้องดูกระแสไฟที่ใช้ รวมถึงรูปแบบการชาร์จด้วย ทั้งในรูปแบบ AC และ DC Charging ซึ่งการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ หรือ AC Charging จะช่วยถนอมแบตได้ดีมากกว่า เพราะเป็นการชาร์จผ่าน Wallbox ก่อนเข้าสู่ On Board Charger  

2. หมั่นใช้การเบรกเพื่อชาร์จไฟ หรือ Regenerative Braking

ในการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์พลังงานทางเลือก เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “การเบรกเพื่อชาร์จไฟ” ไม่มากก็น้อย ซึ่งหลักการของการ Regenerative Braking ก็คือระบบที่ออกแบบมาให้การเบรกของรถ มีการเก็บพลังงานจลน์เอาไว้ในตัวแบตรถ EV แล้วนำกลับมาใช้งานต่อเมื่อมีการเร่งความเร็วใหม่ ทำให้รถมีพลังงานหมุนเวียนทดแทน

โดยวิธีการนี้นอกจากจะช่วยให้รถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่อีกด้วย ทำให้ชาร์จแบตน้อยลง วิ่งได้ไกลขึ้น ซึ่งในรถยนต์ EV บางรุ่น ก็จะมีการกำหนดเอาไว้เลยว่า ให้ชาร์จแบตรถยนต์ไฟฟ้าที่ระดับ 80% เท่านั้น เพราะตัวรถมีระบบ Regenerative Braking ที่ทำงานควบคู่กันอยู่แล้ว

3. ไม่ชาร์จไฟในสภาพอากาศที่ร้อนจัด และเลี่ยงจอดรถกลางแดด

ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า EV จะสามารถชาร์จไฟกลางแดดได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ให้บริการ EV Charging Station ที่อยู่กลางแจ้ง แต่ก็อย่าลืมว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นแบตประเภท Lithium – ion จะเสื่อมเร็วเมื่อมีพลังงานเต็ม เนื่องจากการเกิดชั้นฟิล์ม SEI (Solid Electrolyte Interphase) บนขั้วแอโนดเพิ่มขึ้น บวกกับการดึงไอออนลิเธียมเข้าไปด้วย ส่งผลให้เซลล์แบตเตอรี่เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว

เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรชาร์จไฟในพื้นที่ที่อากาศร้อนจัด หรือชาร์จไฟให้เต็ม 100% และควรหลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดนาน ๆ เพราะปกติแล้วตัวรถจะมีระบบการจัดการกับความร้อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของแบตเตอรี่อยู่แล้ว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ทั้งสิ้น แต่หากมีความจำเป็นต้องจอดรถกลางแดดจริง ๆ ควรระบายความร้อนภายในห้องโดยสาร ด้วยการลดกระจกหน้าต่างลง รวมถึงใช้แผ่นบังแดดควบคู่ไปด้วยก็ได้

แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV

4. ไม่ทำให้แบตเตอรี่เกิดอาการ Overcharge

วิธีถนอมแบตรถไฟฟ้า และเป็นการดูแลรักษาแบตรถยนต์อีกอย่างหนึ่งก็คือ การไม่ทำให้แบตมีอาการ Overcharger และ Over Discharge โดยอาการของแบตเตอรี่รถยนต์ Overcharger คือการอัดไฟด้วยกระแสที่สูงมากกว่าค่าปกติของแบตเตอรี่ ส่วนการ Over Discharge ก็คือการปล่อยให้แบตเตอรี่หมดแล้วไม่มีการชาร์จไฟกลับเข้าไป จนทำให้ความเข้มข้นของน้ำกรดลดลง ส่งผลให้แผ่นธาตุในแบตถูกกัดกร่อนตามไปด้วย

ทั้งนี้ อาการแบตเตอรี่รถ Over Discharge ยังมีสาเหตุมาจากการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ได้เช่นกัน เพราะเมื่อแบตเตอรี่ไม่ได้ทำงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็ทำให้เกิดภาวะความเค้น (Stress) ในแบตที่สูงขึ้น ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ลดลง เพราะฉะนั้น หากจำเป็นที่ต้องจอดรถทิ้งไว้หลายวัน ควรรักษาระดับแบตให้อยู่ที่ประมาณ 25 – 75% หากต้องจอดรถทิ้งไว้มากกว่า 7 วันขึ้นไป ควรสตาร์ทรถทิ้งไว้เพื่อกระตุ้นไฟเข้าแบตเตอรี่สัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อป้องกันอาการ Over Discharge

5. ลดการชาร์จไฟแบบ Fast Charging หรือชาร์จแบบ DC

ถึงแม้ว่าการชาร์จไฟด้วยระบบ Fast Charging จะสะดวกและใช้เวลาไม่นาน แต่การชาร์จด้วยรูปแบบนี้ก็ส่งผลต่อแบตเช่นกัน เพราะเป็นการอัดประจุเข้าไปเป็นจำนวนมากภายในเวลานิดเดียว ซึ่งก็ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตรถ EV โดยตรง เพราะฉะนั้น ควรวางแผนการชาร์จไฟและรักษาระดับแบตเสมอ

หากจำเป็นต้องชาร์จด้วย DC Charging ก็ควรชาร์จแค่จำเป็น เช่น การดำเนินทางไปต่างจังหวัด หรือในช่วงเวลาที่เร่งรีบมากกว่า ซึ่งหากมีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน หรือ Home Charger อยู่แล้ว ก็ควรชาร์จไฟให้เพียงพอต่อการเดินทาง เพียงเท่านี้ก็จะช่วยยืดอายุแบตเตอรี่รถ EV ให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น

การชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ให้ได้ประสิทธิภาพและใช้งานได้ยาวนาน

ไม่อยากให้แบตรถ EV ทำงานหนัก อย่าลืมเติมลมยาง!

อีกหนึ่งเคล็ด(ไม่)ลับ ในการถนอมแบตรถยนต์ไฟฟ้าแบบง่าย ๆ ก็คือ การเติมลมยางของรถยนต์ให้เหมาะสมและพร้อมต่อการใช้งานในทุก ๆ สถานการณ์เสมอ ซึ่งโดยปกติแล้วยางรถยนต์ไฟฟ้า จะมีขอบหนากว่ารถยนต์สันดาป 10 – 20% เพราะต้องรองรับน้ำหนักแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งปกติผู้ขับขี่จะต้องเติมลมยางตามระดับที่ระบุเอาไว้ เพราะหากลมยางน้อยเกินไป ก็หมายถึงการใช้พลังงานที่มากขึ้น ทำให้แบตเตอรี่หมดไว ทั้งยังส่งผลให้ยางรถ EV เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรอีกต่างหาก 

การชาร์จไฟแบตรถยนต์ไฟฟ้า ด้วย Evolt EV Charging Station

สรุป

จะเห็นได้เลยว่า การใช้งานรถยนต์ EV โดยเฉพาะการถนอมแบตรถยนต์ไฟฟ้าให้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้นนั้น มีหลายปัจจัยมาก ๆ ที่ส่งผลต่ออายุการใช้งาน และระยะทางในการขับขี่ของรถ เพราะฉะนั้น ผู้ขับขี่จะต้องหมั่นสังเกตการทำงานของแบตเตอรี่ และตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้ชุดแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีระบบขับเคลื่อนที่สมบูรณ์ตามสมรรถนะที่แท้จริงนั่นเอง