Q&A มัดรวม 7 คำถามยอดฮิต ก่อนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV
ก่อนเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์พลังงานทางเลือก สิ่งที่ผู้ใช้รถอยากรู้ก็คือการใช้งานจริงของรถ EV ซึ่งทางอีโวลท์จะมาสรุปทุกคำถามเกี่ยวกับรถ EV ว่ามีอะไรบ้างที่ผู้ใช้รถอยากรู้ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า กับ 7 คำถามยอดฮิต ที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมไขทุกข้อสงสัยแบบครบ จบ ในที่เดียว
เลือกอ่านตามหัวข้อ
1. รถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร วิ่งได้ไกลแค่ไหน?
หลักการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) จะทำงานได้ด้วย 3 อุปกรณ์หลักที่ติดตั้งเอาไว้ในรถยนต์ คือ แบตเตอรี่ อุปกรณ์สำหรับแปลงกระแสไฟฟ้า และมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้รถยนต์ขับเคลื่อนได้ โดยการทำงานของรถยนต์ EV จะทำงานด้วยการดึงเอาพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง ที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่ของตัวรถ มาแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ แล้วส่งพลังงานไฟยังมอเตอร์รถยนต์ เพื่อให้ตัวรถสามารถขับเคลื่อนได้
และระยะทางในการวิ่งของรถยนต์ EV แต่ละคันที่สามารถวิ่งได้ไกลที่สุดนั้น ก็จะต้องขึ้นอยู่กับความจุแบตเตอรี่ของรถคันนั้น ๆ ด้วย โดยที่ก็มีปัจจัยเรื่องอัตราเร่ง พละกำลังที่ใช้ ตลอดจนสมรรถนะที่เป็นตัวกำหนดระยะทางเช่นกัน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าบางคันที่มีแบตลูกใหญ่ ก็อาจวิ่งได้ระยะทางน้อยกว่ารุ่นที่มีความจุแบตที่น้อยกว่า เพราะมีเทคโนโลยีและระบบการขับขี่ที่ทำให้ใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เป็นต้น
โดยในปัจจุบันนี้รถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายในประเทศไทย มีระยะทางการขับขี่ตั้งแต่ 300 กม. ไปจนถึง 800 กม. อาทิ Mercedex-EQS 450+ ที่ขับขี่ได้ไกลถึง 770 กม./ชาร์จ หรือแม้กระทั่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Lucid Air ที่ขึ้นแท่นเป็นรถ EV ที่ชาร์จเร็วที่สุดในโลก สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 836 กม./ชาร์จ และอีกรุ่นที่น่าจับตาคือ Deepal S05 ในรุ่น REEV ที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์เบนซินแล้วขับขี่ได้ไกลสูงสุดถึง 1,000 กม.

2. เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีข้อดีอะไรบ้าง?
สำหรับข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า จริง ๆ แล้วไม่ได้มีแค่เรื่องของการประหยัดพลังงานและการรักษ์โลกเท่านั้น ที่ทำให้คนยุคใหม่ควรหันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก เพราะการใช้รถยนต์ EV ยังมีข้อดีในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น
1. การประหยัดเชื้อเพลิงและพลังงาน
โดยเฉพาะผู้ที่มีการติดตั้ง Home Charger เอาไว้ที่บ้าน ที่มีการติดตั้งมิเตอร์ TOU หรือใช้โซลาร์เซลล์ร่วมด้วย ทำให้ชาร์จไฟได้ในราคาที่ประหยัดมากขึ้น โดยเฉพาะการชาร์จไฟในช่วงเวลา Off – Peak ที่มีราคาต่อหน่วยที่ถูกลงกว่าอย่างชัดเจน หรือต่อให้เป็นผู้ที่ไม่มีเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน ก็ยังคงประหยัดค่าชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ด้วยการเลือกชาร์จด้วยระบบ AC Charging แทน DC Charging
ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วค่าชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า อยู่ที่ประมาณ 0.5 – 1.5 บาท/กม. (ขึ้นอยู่กับอัตราค่าบริการและรูปแบบการชาร์จที่ใช้) ในขณะที่รถยนต์สันดาปอาจมีราคาที่แพงกว่า ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงที่ใช้เช่นกัน อาทิ รถยนต์วิ่งได้เฉลี่ย 15 กม./ลิตร เติมน้ำมัน Gasohol 95 ในราคาลิตรละ 32.95 บาท เท่ากับว่า 1 กม. จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2.19 บาท เป็นต้น ซึ่งมีราคาแพงกว่ารถยนต์ไฟฟ้าราว ๆ กม. ละ 1 บาท
2. ลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าบำรุงรักษา
เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีค่าเมนเทนที่เกี่ยวข้องกับห้องเครื่องหรือการเปลี่ยนถ่ายของเหลว เช่น ค่าน้ำมันเครื่อง ที่รถยนต์สันดาปจะต้องเปลี่ยนทุก ๆ 10,000 กม. เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะเมนเทนเฉพาะระบบไฟฟ้า เช็กการทำงานของแบตเตอรี่ และระบบต่าง ๆ เป็นหลักเท่านั้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่า
3. ช่วยลดมลพิษทางเสียงและอากาศ
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศอย่างชัดเจน รวมถึงมลพิษทางเสียงที่ก็น้อยลงด้วย เพราะรถยนต์ EV มีเสียงที่เบามาก ๆ จึงทำให้ไม่รบกวนผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น ๆ ซึ่งก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนรอบข้างด้วยเช่นกัน

3. รถยนต์ไฟฟ้า EV ใช้เวลาชาร์จกี่ชั่วโมง?
การชาร์จแบตของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีระบุเอาไว้ตามสเปกของรถอย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยแล้วหากเป็นการชาร์จไฟด้วยระบบ AC หรือการชาร์จแบบปกติ (Normal Charge) จะใช้เวลาเฉลี่ยราว ๆ 6 – 8 ชม. แต่ในปัจจุบันนี้รถยนต์หลาย ๆ รุ่นก็มีการอัปเกรดสเปกให้ชาร์จไฟได้ไวขึ้น ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากกว่าเดิม เช่น Toyota BZ4X Minorchange 2025 ที่ชาร์จด้วย DC ตั้งแต่ 10 – 80% ได้ในเวลา 28 นาที เป็นต้น
4. หาสถานีชาร์จระหว่างทางยากไหม?
การหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Station ในระหว่างทางนั้น ในปัจจุบันมีความง่ายกว่าหลายเท่า เพราะผู้ให้บริการสถานีชาร์จต่างก็มีการขยายพื้นที่ให้บริการแบบหน้ากว้างในหลาย ๆ พื้นที่ เช่นเดียวกับทาง Evolt Technology ที่เรามีพาร์ตเนอร์ที่เปิดให้บริการสถานีชาร์จครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งสถานีชาร์จตามปั๊มน้ำมัน, ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
โดยผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าค้นหาสถานีชาร์จผ่านทาง Evolt Application ก็จะพบจุดให้บริการทั่วประเทศไทย พร้อมจำนวนหัวชาร์จแบบครบครันในแอปฯ เดียว นอกจากนี้ ยังมีอีกหลาย ๆ แอปฯ ที่ก็สามารถค้นหาสถานีชาร์จได้เช่นกัน อาทิ MEA EV และ EleXA by EGAT เป็นต้น

5. ชาร์จรถตามสถานีดีไหม ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
การชาร์จไฟที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้รถยนต์ EV ซึ่งการใช้งานสถานีชาร์จมีข้อดีในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น
- เลือกพื้นที่ที่ต้องการได้ตามเส้นทางที่ใช้รถ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีชาร์จครอบคลุมมากขึ้น หมดปัญหาแบตหมดระหว่างทางได้อย่างแน่นอน
- ตู้ชาร์จสาธารณะทุกสถานี มีมาตรฐานตามที่ กฟผ. และ กฟน. กำหนด และติดตั้งโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ ต่อให้ฝนตกก็สามารถชาร์จไฟในพื้นที่กลางแจ้งได้อย่างหายห่วง
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง Home Charger โดยเฉพาะผู้ที่พักอาศัยตามคอนโด ที่อาจไม่มีพื้นที่สำหรับติดตั้งเครื่องชาร์จส่วนตัว เมื่อต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
- ผู้ให้บริการที่ชาร์จรถ EV ส่วนมากจะมีโปรโมชันให้ผู้ใช้งานอยู่เสมอ เพื่อทำให้ประหยัดค่าชาร์จไฟได้มากขึ้น เช่น การซื้อเครดิตการชาร์จในแคมเปญต่าง ๆ
- การใช้งานสถานีชาร์จบางสถานีอาจไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย เนื่องจากเป็นบริการของผู้ให้บริการในพื้นที่นั้น ๆ อาทิ โรงพยาบาลบางแห่ง ที่มีการติดตั้ง EV Charger ให้ผู้มาใช้บริการชาร์จไฟได้ฟรี
นอกจากนี้ การชาร์จไฟที่สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ยังมีอัตราค่าบริการที่ชัดเจน ทั้งการชาร์จแบบ AC และ DC ทำให้ผู้ใช้บริการวางแผนการชาร์จได้ตามที่ต้องการ และเลือกรูปแบบการชาร์จได้เอง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ชาร์จและประเภทการชาร์จ โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายการชาร์จไฟจะอยู่ที่ประมาณ 6 – 10 บาท/หน่วย

6. Range Anxiety คืออะไร จะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?
อีกหนึ่งคำถามยอดฮิตเกี่ยวกับรถ EV คือ Range Anxiety หรือก็คือภาวะกลัวแบตหมดกลางทาง โดยสภาวะนี้จะเกิดจากการความวิตกกังวลต่อระยะทางในการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ว่าจะขับขี่ได้จนถึงปลายทางหรือไม่ แล้วหากแบตหมดกลางทางจะทำอย่างไรได้บ้าง ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ จากการเลือกรถยนต์ให้ตอบโจทย์การใช้งาน
อย่างเช่น หากเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นประจำ ก็ต้องเลือกรถที่มีขนาดแบตลูกใหญ่มากขึ้น เพื่อระยะทางการขับขี่ที่มากกว่ารถที่มีขนาดเล็ก รวมถึงใช้ Application สำหรับรถ EV หนึ่งในนั้นคือ แอปฯ ค้นหาสถานีชาร์จ ที่มีการบันทึกข้อมูลการใช้พลังงานของรถเอาไว้ด้วย เป็นต้น

7. ยางรถยนต์ EV ควรเลือกยังไง แล้วใช้ยางอะไรได้บ้าง?
และอีกหนึ่งปัญหายอดฮิตของคนที่กำลังมองหารถยนต์ EV มาใช้งานก็คือ ปัญหาเรื่องยางรถยนต์ไฟฟ้า หรือ ยางรถ EV ที่เกิดความสงสัยกันว่า ควรเลือกยางแบบไหนให้เหมาะกับการใช้รถ แล้วถ้าเปลี่ยนยางสามารถเลือกยางรถยนต์ทั่วไปได้หรือไม่ ซึ่งการเลือกใช้ยางสำหรับรถอีวีจะต้องเลือกยางที่รองรับน้ำหนักได้มากขึ้น เพราะต้องแบกรับน้ำหนักของตัวรถและแบตเตอรี่ โดยการเลือกยางต้องดูขนาดที่ระบุเอาไว้ในคู่มือรถเป็นหลัก ส่วนสเปกและสมรรถนะอื่น ๆ สามารถเลือกเพิ่มเติมได้ตามงบประมาณที่มี และยี่ห้อของยางที่ต้องการใช้

สรุป
สำหรับใครที่อยากรู้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีข้อดี – ข้อจำกัดอะไรบ้าง หรืออยากรู้ว่าควรเลือกรถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อไหนดี ที่เหมาะกับการใช้งานของตนเอง เริ่มแรกอาจจะลองศึกษารุ่นรถที่สนใจ แล้วลองเปรียบเทียบความคุ้มค่าในด้านต่าง ๆ อีกครั้ง ซึ่งบางคนอาจจะเข้ากลุ่ม Facebook หรือตาม Social Media เพื่อดูรีวิวการใช้งานจริง ๆ ก่อนตัดสินใจอีกครั้ง หรืออาจจะลองไป Test Drive ก่อนก็ได้เช่นกัน และที่สำคัญคือ ไม่ว่าจะเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นไหนก็ตาม อย่าลืมดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Evolt ไว้ค้นหาสถานีชาร์จ บอกเลยว่า ใช้งานง่าย สะดวก แถมมีโปรชาร์จแบตอัปเดตกันแบบ Real Time ถูกใจสาย Go Green แน่นอน



