BLOGBLOG
back

ทำความรู้จัก วิธีการชาร์จรถไฟฟ้า AC กับ DC ต่างกันอย่างไร?​

ในปัจจุบัน การชาร์จรถไฟฟ้า แต่ละแบบนั้น ต่างก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการใช้งานรถยนต์ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) ที่มีปริมาณที่เพิ่มขึ้นในสังคมยุคใหม่ โดยการเลือกใช้หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบบ ก็จะมีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับการชาร์จรถไฟฟ้าให้มากขึ้นว่ามีกี่แบบ และแต่ละแบบต่างกันมากน้อยแค่ไหน?

การชาร์จรถไฟฟ้า มีกี่แบบ ต่างกันอย่างไรบ้าง

การชาร์จรถไฟฟ้ามีกี่แบบ แล้วแตกต่างกันมากแค่ไหน?

สำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าในปัจจุบันสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ การชาร์จแบบธรรมดา (Normal Charge) หรือที่เราเรียกกันง่าย ๆ ว่า AC Charger และอีกแบบก็คือ การชาร์จแบบเร็ว (Quick / Fast Charge) หรือจะเรียกว่า DC Charger ก็ได้เช่นกัน ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการใช้กระแสไฟฟ้าในวงจร ที่ส่งผลต่อระบบการชาร์จไฟของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จด้วย 

ความแตกต่างของ การชาร์จรถไฟฟ้า AC กับ DC

ความแตกต่างของ การชาร์จรถไฟฟ้า AC กับ DC

การชาร์จรถไฟฟ้าแบบธรรมดา หรือ AC Charger

สำหรับการชาร์จรถไฟฟ้าแบบธรรมดา (Normal Charge / AC Charger) เป็นวิธีการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ โดยเป็นไฟฟ้าที่มีทิศทางการไหลของกระแสสลับกันไปมาตลอดเวลา ไม่มีขั้วบวกหรือลบ โดยระบบจะรับไฟฟ้าจากตัว Wallbox เข้าสู่ On Board Charger ในตัวรถ แล้วแปลงระบบไฟฟ้าเป็น กระแสตรง หรือ DC เข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ ซึ่งโดยใช้เฉลี่ยใช้เวลาชาร์จประมาณ 4 – 16 ชั่วโมง

โดยปัจจุบันจะนิยมใช้ หัวชาร์จรถไฟฟ้า Type 2 เป็นหลัก แต่หากเป็นหัวชาร์จรถไฟฟ้า Type 1 จะเป็นช่วงแรก ๆ ในไทยเท่านั้น โดยหัวชาร์จ Type 1 จะใช้สำหรับรถยนต์ EV ของฝั่งอเมริกาและญี่ปุ่น โดยมีหัวต่อแบบ 5 Pin และเป็นการชาร์จไฟ 1 เฟส รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดอยู่ที่ 7.2 kWh ในขณะที่ชาร์จรถไฟฟ้า Type 2 จะนิยมใช้กับรถยนต์ EV ของฝั่งยุโรปมากกว่า ด้วยการใช้หัวต่อแบบ 7 Pin ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 11 – 22 kWh ในกรณีที่ใช้รูปแบบการชาร์จไฟ 3 เฟส

ข้อดีของการชาร์จแบบ AC Charger

  • เครื่องชาร์จ AC มีราคาไม่สูง
  • เหมาะสำหรับติดตั้งที่บ้าน ที่พัก ที่อยู่อาศัย
  • สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าข้ามคืนได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเสื่อม
  • ใช้งานง่ายมาก แค่เสียบปลั๊กเข้ากับรถยนต์ก็สามารถชาร์จไฟได้เลย

ข้อจำกัดของการชาร์จแบบ AC Charger

  • ต้องใช้เวลาชาร์จที่ค่อนข้างนาน หากเทียบกับการชาร์จแบบ DC Charger
  • ไม่เหมาะสำหรับการชาร์จในช่วงเวลาที่เร่งรีบ
  • กำลังชาร์จเฉลี่ยอยู่ที่ 3 – 22 kW เท่านั้น
  • หากต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ต้องใช้มิเตอร์ที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 30(100)A
  • ควรเดินสายไฟฟ้าจากเบรกเกอร์ที่เตรียมไว้สำหรับเครื่องชาร์จโดยเฉพาะ
รูปแบบและวิธีการชาร์จรถไฟฟ้าของ Evolt

การชาร์จรถไฟฟ้าแบบเร็ว หรือ การชาร์จแบบ DC Charger

วิธีการชาร์จรถไฟฟ้าแบบ DC เป็นการชาร์จที่ถูกพัฒนามาจากแบบ AC Charger โดยรูปแบบของการชาร์จแบบ DC Charger เป็นวิธีการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง ที่สามารถนำกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่าง On Board Charger เหมือนกับการชาร์จด้วย การชาร์จรถไฟฟ้า AC นั่นหมายความว่า สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในปัจจุบันก็มีขนาดของเครื่องชาร์จที่หลากหลาย ทำให้เลือกใช้งานได้หลายรูปแบบ

ข้อดีของการชาร์จแบบ DC Charger

  • เป็นการชาร์จที่ใช้กำลังไฟสูง ทำให้ชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็ว เฉลี่ยเพียง 30 นาที – 2 ชั่วโมง
  • ใช้เวลาการชาร์จที่สั้น เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่เร่งรีบ เช่น การแวะพักชาร์จรถ
  • สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์จาก 10% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 30 นาที
  • เป็นหัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไกล

ข้อจำกัดของการชาร์จแบบ DC Charger

  • เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่มีราคาค่อนข้างสูง หากเทียบกับแบบ AC Charger
  • ในปัจจุบันมีราคาค่าบริการไฟฟ้าอยู่ที่ 7.5 บาท (On Peak) รวม VAT + Ft
  • สถานีชาร์จในปัจจุบันยังไม่ครอบคลุมมากพอ อาจต้องใช้เวลาในการขยายสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
  • ตัวแบตเตอรี่รถยนต์อาจเสื่อมสภาพไว หากชาร์จด้วยหัวชาร์จรถไฟฟ้าแบบ DC บ่อยเกินไป

“การชาร์จรถไฟฟ้า AC เป็นการชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับเข้าสู่ On Board Charger เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสตรง จึงทำให้มีกระบวนการที่นานกว่า ต่างจากหัวชาร์จรถไฟฟ้า DC ที่สามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตได้โดยตรง จึงทำให้ใช้เวลาที่น้อยกว่านั่นเอง”

บริการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับ Evolt

มั่นใจได้มากกว่า ด้วยบริการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับ Evolt

แน่นอนว่า วิธีการชาร์จรถไฟฟ้าแต่ละชนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบ AC Charger หรือ DC Charger สิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือ การเลือกบริการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีมาตรฐานและมีความปลอดภัย โดยเฉพาะระบบการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และการดึงไฟฟ้าในวงจรเข้ามาใช้งาน ที่ต้องมีการคำนวณและประเมินก่อนการติดตั้งจริง

เพราะฉะนั้น หากคุณต้องการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพียงเลือกใช้บริการกับทาง Evolt ก็สามารถมั่นใจได้มากกว่าแน่นอน เพราะเรามีทีมงานที่มากด้วยประสบการณ์คอยให้บริการ พร้อมการให้บริการแบบ One Stop Service ที่จะช่วยวิเคราะห์การติดตั้งได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการเลือกเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ต่อพื้นที่นั้น ๆ และการบริการหลังการติดตั้งอย่างครบวงจร

นอกจากนี้ เรายังกล้าการันตีคุณภาพด้านการให้บริการ และการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้าแบบครบวงจร ด้วยมาตรฐานจาก ERC, MEA และ PEA ที่จะทำให้การติดตั้งสถานีชาร์จทั้งในพื้นที่การให้บริการของคุณ หรือแม้แต่การติดตั้งสถานีชาร์จในที่พักอาศัยให้กลายเป็นเรื่องง่าย เพื่อรองรับการชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน รวมถึงการให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา เพื่อมอบความคุ้มค่าและสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดให้กับผู้ใช้บริการทุกคน