Range Anxiety ภาวะกลัวแบตหมดกลางทาง ที่ทำให้ไม่กล้าใช้รถ EV
หนึ่งในปัญหาที่ทำให้หลาย ๆ คนไม่กล้าใช้รถยนต์ EV ก็คงจะหนีไม่พ้นการกลัวแบตหมดกลางทาง หรือที่เรียกกันว่า “Range Anxiety” ถือเป็นหนึ่งในความกังวลใจของคนที่อยากใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ไม่กล้าตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ EV มาใช้งาน เพราะฉะนั้น เราจะพาคุณมาเจาะลึกกันว่า ภาวะ Range Anxiety คืออะไร แล้วเป็นปัญหาจริงหรือไม่สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า
เลือกอ่านตามหัวข้อ
Range Anxiety คืออะไร?
คำว่า Range Anxiety หมายถึง ความวิตกกังวลต่อระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า หรือระยะทางการใช้งานของรถ EV ต่อการชาร์จแบตเต็ม 1 ครั้ง ว่าจะสามารถขับขี่ได้ไกลตามระยะทางที่รถระบุเอาไว้หรือไม่ หากแบตหมดกลางทางจะทำยังไง แล้วหากแบตหมดจะชาร์จแบตที่ไหนได้ ซึ่งก็จะมาพร้อมกับความกังวลว่า จะมีสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน
การเกิด Range Anxiety หรือ กลัวแบตหมดกลางทาง
สำหรับปัญหาของ Range Anxiety หรือความกังวลว่าแบตเตอรี่รถ EV จะหมดกลางทาง เกิดขึ้นจากระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ที่โดยปกติแล้วรถทุกรุ่นจะบอกระยะทางที่สามารถใช้ได้ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง จึงส่งผลให้เกิดความคาดหวังตามไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะทางการขับขี่ของรถ จะต้องขึ้นอยู่กับมาตรฐานที่ใช้ทดสอบการขับขี่ นั่นหมายความว่า นอกจากตัวเลขของระยะทางที่ระบุเอาไว้แล้ว ยังต้องดูด้วยว่าใช้มาตรฐานอะไร เช่น NEDC หรือ WLTP ฯลฯ
แน่นอนว่า ระยะทางการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้า ยังมีปัจจัยที่เรียกว่า “แบตเตอรี่รถ EV” อยู่ด้วย เพราะถือเป็นตัวแปรที่จะบอกได้ว่า รถรุ่นนั้น ๆ วิ่งได้ไกลมากน้อยแค่ไหน เพราะหากรถใช้แบตเตอรี่ลูกใหญ่ ก็ย่อมส่งผลต่อสเปกที่ดีขึ้น สามารถขับขี่ได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้นเช่นกัน แต่ขนาดของแบตเตอรี่ที่ใหญ่ หรือมีเทคโนโลยีที่ช่วยเรื่องระยะทางในการขับขี่ ก็จะมาพร้อมกับราคารถยนต์ไฟฟ้าที่สูงขึ้น ตามสเปกของรถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน
และเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ ก็ย่อมส่งผลทำให้บางคนยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่า ควรจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแทนรถยนต์สันดาปดีไหม จะคุ้มค่าในระยะยาวจริงหรือไม่ และหากชาร์จแบตบ่อย ๆ จะส่งผลทำให้แบตรถ EV เสื่อมไวไหม แล้วในระยะยาวเมื่อ Charge Cycle ลดน้อยลง จะส่งผลกระทบต่อระยะทางการขับขี่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะการกลัวแบตรถหมดกลางทาง หรือก็คือ Range Anxiety นั่นเอง
วิธีจัดการกับความกังวลว่าแบตรถ EV จะหมดกลางทาง
- ศึกษาสมรรถนะและศักยภาพของตัวรถให้ละเอียด ซึ่งสามารถศึกษาได้จากคู่มือของรถยนต์ EV หรือสังเกตจากการขับขี่ทั้งของตนเองและผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ว่าในการชาร์จรถยนต์เต็ม 1 ครั้ง สามารถขับขี่ได้ไกลมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้รู้ศักยภาพจากการใช้งานจริง
- วางแผนการเดินทางล่วงหน้า โดยเฉพาะการเดินทางไกลที่ต้องมีการวางแผนการชาร์จไฟอย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยให้แบตรถใกล้หมดค่อยชาร์จ หรือปล่อยให้แบตเหลือ 0% หลายครั้ง จนส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถ EV หรือการเสื่อมของแบตนั่นเอง
- ดูแลรถให้พร้อมใช้งานอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการนำรถเข้าเช็กระยะหรือการ Maintain ตามรอบการใช้งานที่ทางศูนย์บริการกำหนด เพื่อให้รถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ขับขี่ได้ไกลตามมาตรฐานของตัวรถ และยังช่วยเช็กความพร้อมในการทำงานของฟังก์ชันต่าง ๆ ได้ด้วย
- ใช้บริการ EV Charging Management System หรือโปรแกรมที่ช่วยให้จัดการพลังงานของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ทำให้เห็นว่าการชาร์จไฟแต่ละครั้งเดินทางได้กี่กิโลเมตร สภาพการจราจรแต่ละแบบส่งผลต่อระยะทางการขับขี่มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้รู้ว่าการเดินทางแต่ละครั้งควรชาร์จไฟอย่างไร เพื่อให้สามารถขับขี่ได้โดยไร้ความกังวลเรื่อง Range Anxiety ในระหว่างเดินทาง
- มีแอปพลิเคชันสำหรับชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า หรือ Mobile EV Charging ที่จะช่วยค้นหาสถานีชาร์จได้แบบ Real Time ทั้งยังตรวจเช็กอัตราค่าบริการ รวมถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับสถานีชาร์จได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางแอปฯ สามารถจองใช้บริการสถานีล่วงหน้าได้ ทำให้วางแผนการเดินทางได้ดียิ่งขึ้น
Range Anxiety ส่งผลต่อตลาดรถยนต์ EV อย่างไรบ้าง?
ถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ๆ จะมีการอัปเกรดสเปกให้ดีมากขึ้น ใช้แบตเตอรี่ที่มีสมรรถนะที่ดี ที่สามารถทำให้ขับขี่ได้ในระยะทางไกล ๆ ได้ แต่ปัญหาของ Range Anxiety ก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้ค่ายรถยนต์ต้องทำการบ้านเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ EV ให้เหมาะกับการใช้งานจริงของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ที่ไม่ได้มีเพียงแค่ในเขตเมืองใหญ่ ๆ ที่มีพื้นที่ให้บริการ EV Charging Station เป็นจำนวนมากเท่านั้น
แต่ยังต้องครอบคลุมการใช้งานในการเดินทางไกลในทุก ๆ พื้นที่เช่นกัน ซึ่งหลาย ๆ ค่ายก็มีการผลิตรถที่มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น รองรับการใช้งาน 2 แบบใน 1 คัน หรือก็คือสามารถใช้งานด้วยน้ำมัน และโหมดไฟฟ้า 100% ได้ สามารถชาร์จไฟได้เหมือนกับรถ BEV ทั่วไป เมื่อทำงานร่วมกันแล้วก็สามารถขับขี่ได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า Deepal S05 ในรุ่น REEV ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เบนซินคู่กัน เมื่อขับขี่แล้วให้ระยะทางวิ่งไกลสูงสุดถึง 1,000 กม. เป็นต้น
นอกจากนี้ ค่ายรถยนต์หลาย ๆ ค่าย ก็มีการพัฒนารูปแบบการชาร์จให้สามารถชาร์จไฟได้อย่างรวดเร็วมากกว่าแต่ก่อน ทั้งในรูปแบบการชาร์จ AC และ DC Charging ที่นอกจากจะช่วยย่นระยะเวลาในการชาร์จไฟให้เต็มในระยะเวลาอันสั้นได้แล้ว ยังช่วยให้ผู้ใช้รถประหยัดเวลามากขึ้น เพราะไม่ต้องเสียเวลารอคิวชาร์จไฟที่ตู้ชาร์จนานเกินความจำเป็น เพราะเมื่อรถยนต์ EV รุ่นใหม่ ๆ สามารถชาร์จไฟได้ไว ก็เท่ากับว่าระยะเวลาในการชาร์จไฟให้เต็ม 100% ในแต่ละครั้งก็ลดลงตามไปด้วย
เช่นเดียวกับผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charging Stations ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่ก็ต้องมีการขยายพื้นที่ให้บริการชาร์จไฟให้เพียงพอต่อความต้องการ และครอบคลุมในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยรวมทั้งตู้ชาร์จทั่วไปและตู้ชาร์จประเภท Fast Charge สำหรับการชาร์จไฟในช่วงเวลาเร่งด่วนด้วย และในบางค่ายรถยนต์ก็มีการขยายพื้นที่ให้บริการตู้ชาร์จของรถยนต์ สำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อรถยนต์ของค่ายด้วย อาทิ ค่ายรถยนต์ Tesla ที่มีบริการสถานีชาร์จ Tesla Supercharger ครอบคลุมในหลาย ๆ จังหวัด
แน่นอนว่า เมื่อมีการปรับตัวทั้งของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำตลาดในเมืองไทย รวมถึงผู้ให้บริการสถานีชาร์จถรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีการขยายพื้นที่ให้บริการอย่างครอบคลุมมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลต่อการเติบโตของตลาดรถ EV ในไทยเช่นกัน เพราะเมื่อมีพื้นที่ให้บริการจุดชาร์จไฟที่เพียงพอ และสมรรถนะของรถยนต์อีวีตอบโจทย์การใช้งานในทุก ๆ รูปแบบ ก็ย่อมทำให้ผู้บริโภคกล้าตัดสินใจใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายกว่าเดิม สังเกตได้จากยอดขายรถยนต์ EV หรือยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าตามงานต่าง ๆ อาทิ Motor Expo และ Motor Show 2025 ที่ผ่านมา
หมดกังวลเรื่อง Range Anxiety เมื่อมีแอปฯ Evolt
สำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่อยากเผชิญกับปัญหาแบตรถ EV หมดกลางทาง หรือแบตรถไม่เพียงพอต่อการใช้งาน โดยเฉพาะการเดินทางไกลในแต่ละครั้ง เพียงแค่มีแอปพลิเคชัน Evolt ก็สามารถค้นหาสถานีชาร์จของทางอีโวลท์ได้ในทุกพื้นที่ที่ต้องการ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ที่สำคัญคือ สามารถเติมเงินเข้าแอปฯ ได้หลากหลายช่องทาง พร้อมจัดการการชาร์จไฟได้ในเมนู Charging Details
