BLOGBLOG
back

ส่องมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า EV และ BEV ในต่างประเทศ

เพื่อสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ภายในประเทศให้มีปริมาณที่มากขึ้น การผลักดันด้วยการใช้ “มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า” จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่หลาย ๆ ประเทศนำมาใช้ โดยตัวมาตรการการใช้รถไฟฟ้าแต่ละประเทศ ต่างก็มีความน่าสนใจที่ต่างกันออกไป เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ก็มีมาตรการ EV 3.5 ที่ออกมาเพื่อสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าในช่วง 4 ปี (2567 – 2570) ซึ่งก็เป็นมาตรการรถยนต์ไฟฟ้าที่เริ่มใช้นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ทาง Evolt Technology จะพาคุณมาดูกันว่า หากกล่าวถึงมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว ในแต่ละประเทศมีนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกอย่างไรบ้าง?

รวมมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าสนใจในต่างประเทศ

จากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษ PM 2.5 ที่ในประเทศไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศต่างกำลังเผชิญ การผลักดันด้วยนโยบายต่าง ๆ รวมถึงมาตรการใช้รถไฟฟ้าในแต่ละประเทศ จึงเป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกหยิบยกมาเป็นแนวทางสำคัญ ที่จะช่วยให้ประชาชนในประเทศหันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกกันมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่ได้กลายเป็น “ผู้นำ Electric Vehicle” ที่หลาย ๆ ประเทศต่างก็ได้นำมาปรับใช้ เพื่อเป็นแนวทางในการผลักดัน มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ในประเทศของตนเอง

มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศนอร์เวย์

ประเทศนอร์เวย์

หากกล่าวถึงประเทศที่รถยนต์ไฟฟ้า 100% เติบโตมากที่สุด ก็ต้องยกให้กับประเทศนอร์เวย์ ที่นับว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่สร้างยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้มากกว่ารถยนต์สันดาปเป็นประเทศแรก ๆ ในขณะที่กำลังเผชิญกับวิกฤติของโรคระบาดในปี 2020 ที่ผ่านมา โดยความน่าสนใจของ มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมก็คือ การยกเว้นภาษีจดทะเบียนและภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับประชาชน โดยทางรัฐจะให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการที่ให้บริการติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า และผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ที่น่าสนใจอีกหนึ่งประเด็นก็คือ ทุกคนในประเทศนอร์เวย์จะสามารถชาร์จไฟฟ้าที่จุดชาร์จรถไฟฟ้าสาธารณะได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และมีการยกเว้นค่าผ่านทางในเส้นทางที่มีการเก็บค่าผ่านทางด้วย และที่ขาดไม่ได้คือ อนุญาตให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้ช่องทางเดินรถโดยสารประจำทางได้เลย นอกจากนี้ ยังสามารถใช้บริการที่จอดรถในพื้นที่สาธารณะได้แบบฟรี ๆ ซึ่งนโยบายดังกล่าวนี้ก็นับว่าเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีชาร์จสาธารณะกว่า 3,000 สถานี และสถานีชาร์จแบบ Fast Chargers อีก 7,753 สถานี (ที่มา : Website visitnorway.com)

และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศนอร์เวย์เติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในปี 2020 รถยนต์ใหม่ที่ขายเป็นรถไฟฟ้าถึง 54% ในขณะที่ปี 2022 รถที่ผลิตและจำหน่ายเป็นรถไฟฟ้า BEV ทั้งหมด 79.3% กันเลยทีเดียว ส่วนพฤติกรรมของผู้บริโภคเองก็หันมาเลือกซื้อรถไฟฟ้าถึง 80% เรียกว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับการผลักดันมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

มาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศเยอรมนี

ประเทศเยอรมนี

อีกหนึ่งประเทศที่นับว่าประสบความสำเร็จมาก ๆ ทั้งการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ ประเทศเยอรมนี ที่มีการทุ่มงบวิจัยจำนวนมหาศาล และทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยมาตรการรถไฟฟ้าที่น่าสนใจก็คือ การยกเว้นภาษียานยนต์เป็นระยะเวลา 5 – 10 ปี โดยจะยึดตามช่วงระยะเวลาในการออกรถ และตามนโยบายหรือว่ามาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ ของทางรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีการให้เงินสนับสนุนแก่ผู้ที่เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนให้เงินชดเชยสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับการใช้งานส่วนบุคคลสูงสุด 5,000 ยูโร (ราว ๆ 200,000 บาท)

และอีกหนึ่งมาตรการผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ การมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ที่ครอบคลุมทั้งรถ PHEV และ Fuel Cell EV (รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง) ว่าหากเข้าเกณฑ์ที่กำหนดก็สามารถใช้บริการที่จอดรถได้ฟรี รวมถึงการจอดรถเฉพาะผู้ที่ใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยเช่นกัน และที่ขาดไม่ได้คือ การใช้ช่องทางเดินรถพิเศษ และสิทธิพิเศษสำหรับการเข้าพื้นที่จำกัดที่เปิดให้เฉพาะผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เรียกว่าเป็นมาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีความใกล้เคียงกับของประเทศนอร์เวย์พอสมควร

ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงอีกหนึ่งอย่างที่เห็นได้ชัด ของการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศเยอรมนีก็คือ บริษัทยานยนต์ชั้นนำหันมาลงทุนในอุตสาหกรรม EV ในประเทศเยอรมนีกันมากขึ้น อาทิ Tesla เปิดโรงงาน Gigafactory เป็นแห่งแรกในยุโรป หรือแม้แต่บริษัท Wolfspeed ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ใน USA ก็ได้ประกาศลงทุนเพื่อสร้างโรงงานผลิตชิปสำหรับยานยนต์ EV โดยเฉพาะ ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมา ประเทศเยอรมนีสามารถส่งออกยานยนต์ EV กว่า 500,000 คัน มีมูลค่ารวมกว่า 24.2 พันล้านยูโร เป็นสถิติการส่งออกกว่า 65.2% ในขณะที่ต้นปี 2023 ก็มีจำนวนการจดทะเบียนยานยนต์ EV ในประเทศรวมกว่า 1,013,009 คัน เพิ่มขึ้น 63.8% หากเทียบกับปีก่อน

มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่น

สำหรับประเทศญี่ปุ่นก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าไม่แพ้กัน ซึ่งมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ การให้เงินสนับสนุนการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ เพื่อมุ่งหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมรถยนต์ EV ทั้งตัวโมเดลรถ รวมถึงการพัฒนาแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ชนิดที่ว่าได้มีการทำข้อตกลงร่วมกันในการทำ “แท่นชาร์จรถไฟฟ้า” ภายในประเทศ เพื่อให้รถทุกคันที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าสามารถใช้หัวชาร์จแบบเดียวกันได้ ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการใช้รถมากขึ้นเช่นกัน

และอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การให้เงินสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการลดหรือยกเว้นภาษีสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ยังไม่นับรวมถึงการนำรถยนต์คันเก่า (รถสันดาป) ไปแลกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ที่สอดคล้องกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมภายในประเทศอีกด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ การจัดตั้งเมืองยานยนต์ไฟฟ้า EV / PHEV Town เพื่อเป็นต้นแบบสำหรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง

เช่นเดียวกับในด้านของอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศญี่ปุ่น ที่ทางรัฐบาลก็ได้อัดฉีดงบประมาณให้กับทาง Toyota Motor เป็นเงินจำนวนกว่า 1.2 แสนล้านเยน (ราว ๆ 2.95 หมื่นล้านบาท) เพื่อให้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และเพิ่มการผลิตรถยนต์ EV ในประเทศโดยเฉพาะ จนนำมาสู่การพัฒนาแบตแบบ Solid State ที่มีความจุมากขึ้น แต่มีขนาดที่เล็กลง ก็นับว่าเป็นมาตรการรถยนต์ไฟฟ้า ที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้งานรถ EV เป็นอย่างมาก

มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ประเทศจีน

ประเทศจีน

สำหรับประเทศจีนแล้วนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีนโยบายสำคัญ ที่ทำให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้สำเร็จ ที่มีสัดส่วนการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าที่หนาแน่น เฉลี่ยอยู่ที่ 1:4 หรือก็คือ หากมีรถยนต์นั่งส่วนบุคคล 4 คัน จะต้องมี 1 คัน ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ประชาชนจีนหันมาใช้รถยนต์ EV กันมากขึ้นก็คือ การใช้มาตรการรถยนต์ไฟฟ้าด้วยกลยุทธ์ Push และ Pull ด้วย 3 ปัจจัย ที่ทำให้มีการผลักดันใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ

  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศที่รองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม
  • การออกนโยบายที่ส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐอย่างแข็งแกร่ง โดยเริ่มจากระดับท้องถิ่นไปถึงระดับโลก ตลอดจนความพร้อมในการสนับสนุนของภาคเอกชน รวมถึงการมี Roadmap ที่ชัดเจน
  • การสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถนั่นเอง

นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ที่ทางรัฐบาลจีนใช้ก็ยังครอบคลุมไปถึงการลดค่าจดทะเบียนรถใหม่ การให้เงินสนับสนุนการซื้อรถยนต์ EV และให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น การกำหนดวันและเวลาของการวิ่ง และเรื่องที่จอดรถพิเศษสำหรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในแดนมังกรเองก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีจำนวนถึง 200 ราย โดย 150 ราย เป็นบริษัทน้องใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ที่มา : ธนาคารกรุงเทพ)

และที่ขาดไม่ได้คือ บริษัทด้านเทคโนโลยีในต่างประเทศได้หันมาร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ Xiaomi และด้วยการเติบโตในด้านต่าง ๆ เหล่านี้เอง จึงทำให้จีนมีการเติบโตด้านการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และสามารถขึ้นแท่นเป็นผู้นำในตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในโลกเช่นกัน

มาตรการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 x Evolt

มาตรการ EV 3.5 มาตรการรถยนต์ไฟฟ้าในไทยที่น่าติดตาม!

ในส่วนของประเทศไทยเอง ก็มีมาตรการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง “EV 3.5” ที่ทางบอร์ดอีวีได้ผลักดันมาตรการดังกล่าว พร้อมกับผลักดันให้ไทยเป็นฮับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค โดยเฉพาะการเดินหน้าสู่เป้าหมาย 30@30 ภายในปี 2573 ที่จะทำให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับตั้งแต่ปี 2567 – 2570 โดยจะครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม มาตรการรถไฟฟ้าก็ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ให้ติดตามกันอีกมาก ซึ่งทาง Evolt Technology ก็เองก็ได้มีแนวทางการดำเนินกิจการอย่างเข้มข้น เพื่อขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งในพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น รวมถึงพื้นที่ต่างจังหวัดที่ในปัจจุบันสถานีชาร์จอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ และหากท่านต้องการร่วมเป็น Partner กับทาง Evolt เพื่อทำธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

ทั้งนี้ หากท่านต้องการลงทุนสถานีชาร์จกับทาง Evolt สามารถเข้ามาร่วมลงทุนกับเราได้ เพียงลงทะเบียนที่ https://forms.gle/ntrpw2Vi6LttMhDA7 หรือติดต่อมาที่ info@evolt.co.th หรือโทร 02-114-7343