BLOGBLOG
back

สรุป 5 เหตุผล ทำไมรถ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า ถึงเติบโตในเมืองไทย

กระแสรถยนต์ไฟฟ้า EV ในไทยตอนนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งกระแสที่มาแรงและน่าจับตามอง โดยเฉพาะการเปิดตัวรถ EV ในเมืองไทยจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ ที่ต่างก็เข้ามาบุกตลาดเพื่อแข่งขันกันอย่างดุเดือด เมื่อบวกกับมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อการสนับสนุนให้ประชาชนเริ่มหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในไทยกันมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตลาดรถ EV คึกคักเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะการประกาศอนุมัติเกณฑ์ประกันรถยนต์ BEV ของ คปภ. ที่เพิ่งประกาศให้มีผลบังคับใช้เมื่อช่วงต้นปี 2024 ที่ผ่านมา

1. ความเชื่อมั่นต่อรถยนต์ไฟฟ้า และเทรนด์ตลาดที่เปลี่ยนไป

เหตุผลหลักที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในเมืองไทยก็คือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งต่อตัวค่ายรถยนต์ การใช้งาน เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งการรับประกันหลังการขาย ที่จะช่วยลดความกังวลของผู้บริโภคได้ในระยะยาว เมื่อบวกกับภาระค่าใช้จ่ายที่ลดลงเมื่อเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ตลาดรถ EV เติบโตมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งจะเห็นได้เลยว่านับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ตลาดรถยนต์ EV เติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และจากการคาดการณ์นั้น คาดว่าในปี 2025 หรือปี 2568 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในไทยอาจจะพุ่งถึง 225,000 คัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กำหนดโดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติเช่นกัน (กล่าวโดย กฤษฎา อุตโมทย์ นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าแห่งประเทศไทย : EVATX)

เช่นเดียวกับยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปี 2023 ที่มีจำนวนยอดจดทะเบียนสูงถึง 76,538 คัน เพิ่มขึ้นถึง 695.9% (ที่มา สถานีโทรทัศน์ Thai PBS) สูงกว่าการคาดการณ์เบื้องต้นว่ายอดจดทะเบียนรถ EV ในปี 2566 จะอยู่ที่ราว ๆ 4 หมื่นคัน เพราะฉะนั้น จึงทำให้เห็นว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ EV ในไทย จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง

ความเชื่อมั่นต่อรถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้ตลาดรถ EV เติบโตมากขึ้นในไทย

2. การใช้รถยนต์ไฟฟ้า ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว

ในอดีตรถยนต์ไฟฟ้าอาจมีราคาที่จับต้องได้ยาก แต่ในปัจจุบันนี้ราคารถยนต์ EV ถูกปรับลงพอสมควร ซึ่งเป็นผลมาจากการแข่งขันในตลาดรถ EV ทำให้ผู้บริโภคหรือผู้ที่ต้องการใช้รถยนต์พลังงานทางเลือก มีตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกใช้รถที่เหมาะสมต่อการใช้งาน และงบประมาณในกระเป๋า เพื่อนำไปสู่การลดภาระค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว เช่น ระยะทางในการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า BEV ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง หรือแม้กระทั่งการเลือกรถตามระยะเวลาในการชาร์จไฟ

ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ ต่างก็เป็นสเปกโดยพื้นฐานที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถ สามารถวางแผนการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง อาทิ หากเลือกรถที่มีระยะทางในการขับขี่ที่สูงมาก ๆ เมื่อเดินทางระยะไกลก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหาจุดชาร์จรถระหว่างทางบ่อยครั้ง เพราะสามารถชาร์จไฟจากเครื่องชาร์จที่บ้านไปพร้อม ๆ กับการวางแผนการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังไม่นับรวมค่าบำรุงรักษาที่จะตัดภาระค่าใช้จ่ายบางอย่างลงไปได้ เช่น ค่าเปลี่ยนถ่ายของเหลว รวมถึงระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานมากขึ้น

“จากการสำรวจความเห็นและพฤติกรรมของคนไทย เกี่ยวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า พบว่าปัจจัยหลักที่ทำให้หันมาซื้อรถยนต์ EV ก็คือ ราคาค่าชาร์จไฟที่ถูกมากกว่าราคาน้ำมัน (ที่มา : ผลสำรวจการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจาก เกรท วอลล์ มอเตอร์ ร่วมกับ นิด้าโพล)”

3.มีเทคโนโลยีที่หลากหลาย และทันสมัยมากขึ้น

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ การใส่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้กับตัวรถ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า Tesla ก็จะมีฟีเจอร์ Autopilot ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่ช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยในการขับขี่ไม่แพ้กับการบังคับรถด้วยตนเอง นอกจากนี้ ยังมีการอัปเกรดเป็นระบบ EAP ที่เพิ่มขีดความสามารถของ Autopilot ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งระบบการนำทาง การเปลี่ยนช่องจราจรโดยอัตโนมัติ ระบบจอดรถอัตโนมัติ ฯลฯ

และที่ขาดไม่ได้คือ รถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ รุ่น มักจะมีโหมดขับขี่ให้ผู้ใช้งานได้เลือกใช้ตามความพฤติกรรมการขับขี่ในแต่สถานการณ์ที่แตกต่างกันออกไป เมื่อบวกกับเสียงรบกวนที่น้อยเพราะไม่มีเสียงจากเครื่องยนต์สันดาป ก็ยิ่งทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานรถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ต่างจากการใช้รถยนต์สันดาป จึงทำให้เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลาย ๆ คน หันมาเลือกใช้รถยนต์ EV จนส่งผลให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตมากขึ้น

การใช้รถยนต์ EV ช่วยทำให้ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

4. การใช้รถไฟฟ้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเติบโตเป็นอย่างดีในเมืองไทยก็คือ การเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า จะไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมา ลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้มากกว่ารถยนต์สันดาป ที่ถึงแม้จะมีโหมด ECO แต่ก็ยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเช่นเดิม ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV นอกจากจะลดการปล่อยมลพิษแล้ว ยังช่วยลดมลพิษทางเสียงได้อีกด้วย

ทั้งนี้ จากผลการศึกษาของทาง นิสสันเอเชีย และโอเชียเนีย ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่องมลภาวะทางเสียง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า การได้รับมลภาวะทางเสียในระยะยาวจากการจราจรที่สูงมากกว่า 53 dB นั้น ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น โรคความดันโลหิตสูง การสูญเสียการได้ยิน โรคหลอดเลือดหัวใจ รวมถึงภาวะหัวใจวาย ในขณะที่ประเทศไทยมีเสียงจากการจราจรเฉลี่ยอยู่ที่ 76 dB เรียกว่าสูงเกือบ 4 เท่าของระดับเสียงที่เหมาะสมต่อการได้ยินและไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

จึงสามารถกล่าวได้ว่า การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่มีระบบการขับเคลื่อนที่เงียบและไร้มลพิษ จะช่วยเพิ่มศักยภาพและลดปัญหามลพิษจากสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างสูง (กล่าวโดย ยูกาตะ ซานาดะ รองประธานอาวุโสประจำภูมิภาคของเอเชีย และโอเชียเนีย) ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในหลาย ๆ มิติ ทั้งต่อตัวผู้ใช้งานและประชาชนทั่วไป

การส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ด้วยมาตรการต่าง ๆ จากรัฐบาล

5. รัฐบาลมีมาตรการผลักดันให้ประชาชนหันมาใช้รถ EV

และเหตุผลสุดท้ายที่ทำให้ตลาดรถ EV เติบโตอย่างรวดเร็วในเมืองไทย นั่นก็คือ รัฐบาลมีมาตรการต่าง ๆ ที่ช่วยสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ไม่แพ้กับมาตรการสนับสนุนใช้รถ EV และ BEV ในต่างประเทศ โดยเฉพาะนโยบาย 30@30 เพื่อเตรียมความพร้อมในการก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low-carbon Society)

ทั้งยังผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า – เศรษฐกิจดิจิตอล ในภูมิภาค ตลอดจนชิ้นส่วนต่าง ๆ (EV Hub) ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการเปิดอาคารและศูนย์วิจัย R&D ด้านยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อช่วยขับเคลื่อน 2 อุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต (Future Mobility Hub) และศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy Hub) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู (เหนือ) จังหวัดสมุทรปราการ

และที่ขาดไม่ได้คือการอนุมัติเกณฑ์ประกันรถยนต์ไฟฟ้า BEV ที่แยกความคุ้มครองระหว่างตัวแบตเตอรี่และตัวรถยนต์ ซึ่งรวมถึงการลดเบี้ยให้ผู้ขับขี่ที่มีประวัติดีได้สูงสุดถึง 40% นอกจากนี้ ยังมีการผลักดันมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ อาทิ รถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) ที่สอดคล้องกับธุรกิจฟลีท ที่สามารถเปลี่ยนให้เป็น EV Fleet ได้เช่นกัน

ลงทุนทำธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ร่วมกับ Evolt Technology

ร่วมเป็น Partner กับ Evolt ด้วยการทำธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

จาก 5 เหตุผล ที่ทำให้การใช้รถยนต์ EV ในเมืองไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ “สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า” ที่ในปัจจุบันนี้อาจกล่าวได้ว่ายังคงไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้งาน รวมถึงผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะหันมาใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ที่ยังคงมีความกังวลเรื่องจำนวนจุดชาร์จในพื้นที่ต่าง ๆ

และในปัจจุบันนี้ผู้ประกอบการหลาย ๆ แห่ง ทั้งเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ให้บริการ รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ต่างก็ให้ความสนใจต่อการทำธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยสร้างรายได้จากสถานีได้อย่างง่ายดายแล้ว ยังเป็นการลงทุนในระยะยาว สามารถคืนทุนได้ไว และที่สำคัญคือ ช่วยทำให้มีผู้ใช้บริการในพื้นที่ของตนเองได้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น หากคุณกำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจ และต้องการทำธุรกิจสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าในพื้นที่ของคุณ สามารถติดต่อเข้ามาทาง Evolt Technology ผู้นำด้านการให้บริการสถานีชาร์จแบบครบวงจร ด้วยบริการแบบ One Stop Service ที่พร้อมดูแลคุณตั้งแต่การให้ข้อมูลที่เหมาะสมต่อพื้นที่ให้บริการ ตลอดจนการพัฒนาระบบ Management Platform เพื่อนักลงทุนโดยเฉพาะ