BLOGBLOG
back

5 ข้อควรรู้ และเตรียมให้พร้อม ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV

ข้อควรรู้ และเตรียมให้พร้อม ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) หรือรถยนต์ EV นับเป็นรถยนต์ส่วนตัวที่ได้รับความนิยมสูงในตอนนี้ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์เมืองไทย ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าจะยังคงเติบโตมากขึ้นอย่างไม่หยุดนิ่ง สังเกตได้จากสถิติการจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2566 นี้ ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 73,341 คัน เติบโตกว่า 399.05% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคหลาย ๆ คน หันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ดังนั้น ทาง Evolt จะมาแนะนำเทคนิคง่าย ๆ สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของรถยนต์ EV ว่าก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามีอะไรบ้างที่ควรรู้ แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไร หากต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน

5 ข้อควรรู้ ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้าจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ๆ ด้วยกัน คือ ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV, Hybrid Electric Vehicle), ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle), ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle) และอีกชนิดก็คือ ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง หรือรถไฮโดรเจน (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle) ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าที่เรากำลังจะกล่าวถึงนี้คือรถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ หรือ BEV นั่นเอง

ข้อควรรู้และควรเตรียมให้พร้อม ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

1. ศึกษาข้อมูลและสเปกของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการใช้งาน 

ก่อนที่จะเลือกใช้งาน รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือรถยนต์ประเภท BEV ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า รถยนต์ประเภทนี้ทำงานด้วยระบบการขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ตัวรถมีขนาดแบตที่ใหญ่ ซึ่งข้อดีคือไม่มีการปล่อยควันเสียออกมา แต่ข้อจำกัดก็คือ การชาร์จพลังงานไฟฟ้าก่อนใช้งาน และระยะทางในการขับขี่ต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกัน โดยจะขึ้นอยู่กับความจุของแบตเตอรี่ และสมรรถนะของตัวรถ เพราะฉะนั้น ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องดูระยะทางการวิ่งให้ดี ว่ารถที่ต้องการใช้งานเหมาะกับการใช้ในรูปแบบไหนบ้าง หากเดินทางไกลควรจะเลือกรถที่มีสมรรถนะอย่างไร ระยะทางการวิ่งสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง เพราะข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เราได้รถที่เหมาะสมต่อการใช้งานจริงในระยะยาว 

2. ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ของตัวรถ

อีกหนึ่งข้อควรรู้ก่อนซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นั่นก็คือ การดูว่ารถที่ต้องการซื้อมาใช้งานนั้น ใช้เวลาชาร์จมากน้อยแค่ไหน ทั้งในรูปแบบของ AC Charging และ DC Charging เพราะโดยปกติแล้วเราจะติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการชาร์จไฟที่เป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Charging) ไว้ใช้ในบ้านหรือที่พักอาศัย คอนโด คอมมูนิตี้มอลล์ ในขณะที่การชาร์จที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) จะใช้สำหรับการชาร์จตามจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือตามสถานีชาร์จนอกบ้าน เพราะใช้เวลาในการชาร์จน้อยกว่า โดยเฉลี่ยใช้เวลาเพียง 40 – 60 นาที ดังนั้น ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าควรศึกษาระยะเวลาในการชาร์จรถต่อครั้งให้ละเอียดก่อนตัดสินใจซื้อรถไฟฟ้า

การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมต่อการใช้งาน

3. การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน 

นอกเหนือจากการศึกษาข้อมูลของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการใช้งานแล้ว ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถ EV ก็คือ การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานที่มากกว่า เพราะถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีบริการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตามจุดต่าง ๆ ที่ถือว่าค่อนข้างครอบคลุมในระดับหนึ่งแล้ว แต่การมีจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านก็จะช่วยให้สะดวกสบายมากกว่า รวมถึงการประหยัดค่าใช้จ่าย และเวลาในการชาร์จไฟได้ด้วย 

ทั้งนี้ ก่อนติดตั้งจุดชาร์จรถไฟฟ้าในบ้าน ต้องพิจารณาว่าควรเปลี่ยนขนาดมิเตอร์สำหรับติดตั้ง EV Charger หรือไม่ แล้ว On board charger ของรถยนต์ไฟฟ้า รองรับกำลังไฟได้สูงสุดเท่าใด ซึ่งรถยนต์ EV ทั่วไป สามารถรองรับได้ประมาณ 6-7 kW หรือ 32 A ต่อเฟส โดยขนาดมิเตอร์ ที่แนะนำก็คือ 1-Phase 30(100) หรือ 3-Phase 30(100)A 

นอกจากนี้ หากบ้านอยู่อาศัยอยู่ในพื้นที่จำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง อาจลดค่าใช้จ่ายในปรับปรุงโดยใช้มาตรฐานทางเลือกสายเมนวงจรที่ 2 ซึ่งจะปรับปรุงระบบไฟฟ้าเฉพาะที่จ่ายไฟฟ้าให้กับ EV charger นอกจากนี้ หรือหากมีพฤติกรรมชาร์จรถส่วนใหญ่เป็นตอนกลางคืน หรือ เสาร์ อาทิตย์ อาจพิจารณาเปลี่ยนประเภทเครื่องวัดฯ เป็นแบบ TOU (Time of Use) ควบคู่ไปด้วยก็ได้ เพื่อให้ประหยัดค่าไฟได้มากขึ้น กรณีที่ชาร์จไฟในเวลา Off Peak

บริการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน จากทีมงานของ Evolt

4. งบประมาณที่ต้องใช้ (ค่ารถ ประกัน ภาษี และค่าซ่อมบำรุง) 

ถึงแม้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าน้ำมันได้ แต่ก็อย่าลืมว่ามีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ใช้รถยนต์ EV จะต้องมาดูว่า งบประมาณที่มีอยู่ในมือเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หรือไม่ 

  • ค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันถือว่ามีราคาที่สูงกว่ารถยนต์สันดาปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมูลค่าของค่าอะไหล่รถยนต์ EV สูงกว่า และมีกำลังในการผลิตที่น้อยกว่านั่นเอง 
  • ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบันนี้ถือว่ามีราคาที่ถูกกว่ารถยนต์สันดาป เนื่องจากมติลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้า 80% นั่นเอง หากเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน น้ำหนักไม่เกิน 1,500 กิโลกรัม เสียภาษีเพียง 200 บาท เท่านั้น (อัตราภาษีขึ้นอยู่กับน้ำหนัก) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2568 
  • ค่าตรวจสภาพรถ โดยจะต้องขึ้นอยู่กับการกำหนดของค่ายรถ ว่าโดยปกติแล้วมีการตรวจเช็กในระยะเท่าไหร่บ้าง เพราะระบบของรถยนต์ไฟฟ้าถือว่ามีความซับซ้อนพอสมควร ทั้งตัวแบตเตอรี่และระบบการชาร์จ ดังนั้น อย่าลืมเตรียมความพร้อมในส่วนนี้เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน  
  • ค่าบำรุงรักษา โดยเฉพาะอายุการใช้งานแบตเตอรี่ ที่โดยเฉลี่ยจะมีอายุประมาณ 6 – 8 ปี ขึ้นอยู่กับการใช้งานและรุ่นรถที่ใช้ ซึ่งปัจจุบันราคาแบตเตอรี่มีราคาตั้งแต่หลักหมื่นจนถึงหลักแสน  
  • การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ตรงนี้จะขึ้นอยู่กับค่ายรถที่อาจจะมีโปรโมชั่นการติดตั้งพร้อมกับการซื้อรถให้ด้วย หรือบางกรณีอาจจะเลือกบริการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จากบริษัทที่ให้บริการในด้านนี้โดยเฉพาะ
  • ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่าย อีกหนึ่งงบประมาณที่ต้องใช้ในทุก ๆ เดือน คืองบประมาณค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้จ่าย ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะนิยมชาร์จไฟที่บ้าน เนื่องจากมีความสะดวกมากกว่า แต่บางครั้งก็ตองมีการชาร์จไฟนอกสถานที่ด้วย ซึ่งค่าบริการก็ขึ้นอยู่กับสถานีชาร์จที่ใช้และรูปแบบการชาร์จ

5. การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ

ข้อควรรู้ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจากแบรนด์หรือว่าค่ายรถยนต์ที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถสร้างความเชื่อมั่นในการให้บริการหลังการขายได้ เพราะอย่างที่รู้กันว่าตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยถือว่าค่อนข้างใหม่ และค่ายรถที่ทำตลาดอยู่ในตอนนี้ส่วนมากเป็นค่ายน้องใหม่ที่มาทำตลาดในเมืองไทย ดังนั้น ก่อนเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าควรดูบริการหลังการขายให้ละเอียด เช่น การรออะไหล่รถยนต์ การซ่อมบำรุง ฯลฯ

เลือกใช้สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า EV Charger จากอีโวลท์ เพื่อความปลอดภัยที่มากกว่า

เลือกใช้ EV Charger จาก Evolt มั่นใจและปลอดภัยมากกว่า! 

สำหรับผู้ที่สนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า EV มาใช้ และต้องการติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน สามารถเลือกใช้บริการติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากับทาง Evolt Technology เพื่อรับบริการแบบ One Stop Service พร้อมมาตรฐานการติดตั้งจาก PEA และ MEA ที่ช่วยให้ผู้ใช้รถมั่นใจได้มากขึ้น ทั้งยังได้รับการรับรองมาตรฐานการประกอบกิจการไฟฟ้าจาก ERC ทั้งนี้ หากต้องการใช้บริการจุดชาร์จรถไฟฟ้า ก็สามารถเลือกค้นหาสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใกล้คุณได้ง่าย ๆ ผ่านทาง Application Evolt

Latest Post