5 เหตุผล ทำไมรถยนต์คันต่อไป ควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ทำไมควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า? หรือรถยนต์ EV 100% นับเป็นหนึ่งในยอดฮิตของคนใช้รถ หรือผู้ที่มีแพลนอยากจะออกรถยนต์ส่วนตัวมาใช้งาน ซึ่งในปัจจุบันนี้กระแสรถยนต์ EV (Electric Vehicle) นับว่ากำลังมาแรงและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะข้อดีต่าง ๆ ที่ทำให้มีผู้ที่เลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่มีราคาย่อมเยา ตลอดจนรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะการขับขี่ที่ดี ไม่แพ้กับรถยนต์สันดาปราคาหลายล้าน ทั้งนี้ ทาง Evolt จะพาคุณมาเจาะลึกทุกข้อมูลเด็ด พร้อมไขข้อข้องใจสำหรับผู้ที่กำลังลังเลว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าดีไหม ว่ามีเหตุผลอะไรบ้างที่ทำให้คุณควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า?
เลือกอ่านได้เลย
1. การใช้งานที่ตอบโจทย์ ทั้งความเงียบ และสมรรถนะที่ดี
เหตุผลที่หลาย ๆ คนกังวล ในการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ สมรรถนะการขับขี่และการใช้งาน ว่าจะดีเพียงพอหรือว่าเทียบเท่ากับรถยนต์สันดาปที่ใช้อยู่ทั่ว ๆ ไปหรือไม่ ซึ่งในปัจจุบันนี้รถยนต์ไฟฟ้าหลาย ๆ แบรนด์ ก็ได้พัฒนาสมรรถนะการขับขี่ให้ดีขึ้นจนเห็นได้ชัด สามารถใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ และยิ่งบวกกับการเปลี่ยนจากมอเตอร์มาเป็นแบตเตอรี่ ก็ยิ่งส่งผลให้ภายในห้องโดยสารมีความเงียบมากขึ้น ไม่มีเสียงเครื่องยนต์เข้ามารบกวนในการขับขี่ ส่งผลให้อัตราเร่งของตัวรถดีตามไปด้วย ช่วยให้ขับสนุกได้มากกว่าที่เคย ไม่ต้องคอยทดเกียร์เหมือนรถยนต์สันดาป เรียกได้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้า สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการของผู้ขับขี่ได้อย่างที่ใจต้องการ
2. ได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ดี กับราคาที่เอื้อมถึงได้
การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าผู้ใช้งานสามารถเลือกรถที่เหมาะสมกับตนเองได้ง่าย ๆ ทั้งในแง่ของสมรรถนะการใช้งาน ประสิทธิภาพของตัวรถ ฟังก์ชันหรือออปชั่นต่าง ๆ ที่มีให้ใช้ และที่ขาดไม่ได้คือ รูปแบบของหัวชาร์จ ที่จะมีผลเวลาต้องเดินทางไกลแล้วต้องเลือกจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่มีบริการหัวชาร์จที่เหมาะกับตัวรถ นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับกำลังของตนเองได้เช่นกัน ซึ่งบางรุ่นหากหักลบกับส่วนลดที่ค่ายรถมีให้ผู้บริโภคด้วยแล้ว ก็ทำให้มีราคาที่ถูกลงมาจนทำให้ราคาผ่อนต่อเดือนเฉลี่ยไม่ถึง 7,000 บาท เสียด้วยซ้ำ หรือหากต้องการรถที่มีสมรรถนะสูงก็มีให้เลือกหลายแบรนด์เช่นกัน อาทิ Tesla Model 3, รถยนต์ไฟฟ้า BYD Seal และ BMW iX3 เป็นต้น
Tips วิธีเลือกรถยนต์ไฟฟ้า ให้เหมาะกับตนเอง
- ความต้องการในการใช้งานรถยนต์ เช่น ใช้งานในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป ใช้เส้นทางเดิมเป็นประจำ หรือต้องการใช้ขับรถทางไกล เพื่อให้รู้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่เลือกควรมีสมรรถนะแบบไหน อัตราเร่งเป็นอย่างไร และระยะทางที่วิ่งได้ไกลสูงสุดอยู่ที่เท่าไหร่
- สเปกของตัวรถที่ต้องการใช้ โดยเฉพาะเรื่องความจุของแบตเตอรี่ ขนาดมอเตอร์ที่ขับเคลื่อน ระบบระบายความร้อนที่ใช้ และที่สำคัญคือ ระยะเวลาในการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ทั้งรูปแบบของ AC และ DC Charging
- ออปชั่นของตัวรถว่าต้องการมากน้อยแค่ไหน เช่น ระบบ Auto Pilot ของ Tesla ที่ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดารถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ในหลาย ๆ รุ่นยังมีหลังคาซันรูฟให้ด้วย ดังนั้น ลองพิจารณาดูว่าออปชั่นต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นมากน้อยแค่ไหนในการใช้งานของตนเอง
- รูปแบบและประเภทการชาร์จของรถยนต์ EV โดยแบ่งออกเป็น 3 แบบหลัก ๆ คือ Quick Charge, Double Speed Charge และ Normal Charge ซึ่งการชาร์จแบบเร็วหรือ Quick Charge จะใช้ไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) มีหัวชาร์จ 3 แบบ ได้แก่ CHAdeMo, GB/T และ CCS แต่หากเป็นการชาร์จแบบธรรมดา ก็จะมีหัวชาร์จคือ Type 1 และ Type 2 นั่นเอง
- การรับประกันและบริการหลังการขาย เพราะอย่างที่เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้าในเมืองไทยยังถือว่าเป็นตลาดที่ใหม่พอสมควร ดังนั้น การเลือกซื้อรถควรดูการรับประกันให้ละเอียด ว่าครอบคลุมกรณีไหนบ้าง ตลอดจนบริการหลังการขายของแบรนด์รถยนต์ ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากกว่านั่นเอง
3. เซฟค่าใช้จ่ายและค่าซ่อมบำรุงในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้หลายคนหันมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งเป็นรถยนต์คันแรกและเป็นรถยนต์คันต่อไปสำหรับใช้งานในครอบครัวก็คือ การใช้งานที่ช่วยเซฟค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้มากกว่า เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าซ่อมบำรุงและการเปลี่ยนถ่ายของเหลว เช่น น้ำมันเครื่อง นอกจากนี้ ยังไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานไฟฟ้ามาแทนที่น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายจากการจ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้หลายเท่าตัว
เพราะฉะนั้น การใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วยทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้มากกว่า ยิ่งถ้าเลือกซื้อรุ่นรถที่มีระยะเวลาการรับประกันที่ยาวนาน ตามโปรโมชั่นของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังทำตลาดในเมืองไทย ก็ยิ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะค่าบำรุงรักษาตามระยะที่แบรนด์รถมีให้ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า BYD มีการรับประกันตัวรถ (Warranty) นาน 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร สำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อ BYD ATTO 3 เป็นต้น
4. สามารถเลือกชาร์จไฟได้ง่าย ๆ ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จรถไฟฟ้า
สำหรับเหตุผลที่คุณควรเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความสะดวกสบายในการชาร์จไฟ ที่ถึงแม้ว่าการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องแลกมากับการเสียเวลาไปกับการชาร์จไฟ เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนของมอเตอร์ แต่การหันมาใช้รถยนต์ EV ก็สามารถเลือกชาร์จไฟได้หลากหลายสถานที่ ทั้งการชาร์จไฟได้เองที่บ้าน หรือแม้แต่การชาร์จไฟตามสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ที่มีให้บริการอย่างครอบคลุม และมีให้เลือกทั้งการชาร์จแบบ AC Charging และ DC Charging
เพราะฉะนั้น ปัญหาเรื่องการเสียเวลาในการชาร์จก็จะไม่มากวนใจคนใช้รถอีกแน่นอน ยิ่งถ้าใครที่เลือกติดตั้งจุดชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้าน ก็สามารถชาร์จไฟในเวลากลางคืนได้ง่าย ๆ เพื่อใช้รถในเวลากลางวัน แถมได้ราคาต้นทุนการชาร์จที่ถูกกว่าอีกต่างหาก เพราะโดยส่วนมากแล้วเป็นการชาร์จในช่วงเวลา Off Peak เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้งานรถได้อย่างไร้กังวล ไม่ต้องห่วงว่าแบตจะหมดระหว่างทางอีกต่อไป
5. ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ช่วยลดการปล่อยมลภาวะได้มากกว่า
และเหตุผลสุดท้ายที่คุณควรเปลี่ยนมาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าไว้ใช้งานก็คือ การช่วยลดมลภาวะจากการใช้รถยนต์ EV เพราะในขณะนี้ปัญหาภาวะโลกเดือด (ปัจจุบันทาง UN ประกาศให้สิ้นสุด “ภาวะโลกร้อน” และก้าวเข้าสู่ “ภาวะโลกเดือด” เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2566) ถือเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนต้องหันมาให้ความสำคัญ ดังนั้น การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วย ที่จะทำให้การปล่อยมลภาวะเข้าสู่ชั้นบรรยากาศลดลง และปัญหาทางด้านมลพิษทางอากาศก็จะลดน้อยลงได้เช่นกัน
ติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าในบ้าน ด้วยบริการที่ครบวงจรจาก Evolt
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าภายในบ้านหรือที่พักอาศัย สามารถเลือกใช้บริการ ติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า กับทาง Evolt Technology ที่มีบริการแบบ One Stop Service ที่พร้อมจะดูแลทุกขั้นตอนการติดตั้งอย่างครอบคลุม หรือหากต้องการทำธุรกิจสถานีชาร์จรถไฟฟ้า ทางเราก็มีบริการติดตั้งและช่วยให้คำแนะนำอย่างละเอียด ด้วยบริการการติดตั้งที่ครบวงจรจากทีมงานที่มากประสบการณ์ ทั้งยังได้รับมาตรฐานการรับรองจาก ERC, MEA และ PEA เพื่อให้คุณมั่นใจได้มากกว่า
Latest Post
